ประโยชน์ของยอ


เรื่องน่าดูของ “ยอ” ที่ต้องรู้
ยอ ไม้ยืนต้น ที่สามารถกินได้ทั้งผลและใบ ใบยอ มีรสขมเฝื่อน ผลดิบหรือแก่ มีรสเผ็ดร้อน ปัจจุบันนิยมนำลูกยอไปแปรรูปโดยคั้นเป็น “น้ำลูกยอ” มีสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายหลายชนิด
1 ประโยชน์ทางด้านโภชนาการ ยอ สามารถนำมาบริโภคได้ทั้งใบและผล โดยผลลูกยอสุก นำมาจิ้มกินกับเกลือหรือกะปิ ส่วนลูกห่ามนิยมใช้ทำส้มตำ และใบอ่อน นำมาลวกกินกับน้ำพริก ใช้ทำแกงจืด แกงอ่อม ผัดไฟแดง หรือนำมาใช้รองกระทงห่อหมก
2 ยอมีสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายหลายชนิด ทั้งแคลเซียม ธาตุเหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี ไนอาซีน และโปรตีน โดยเฉพาะแคลเซียมมีมากถึง 469 มิลลิกรัม ในใบยอ 100 กรัม การกินใบยอสุกประมาณ 2 ช้อนโต๊ะพูน ๆ ร่างกายก็จะได้รับแคลเซียม ถึงครึ่งหนึ่งของความต้องการ ในแต่ละวันแล้ว (คนทั่วไปควรได้รับแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม)
3 ประโยชน์ทางยา ใบยอ มีรสขมเฝื่อน สรรพคุณบำรุงธาตุ แก้กษัย แก้ไข้ ฆ่าเหา ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ ใบสามารถนำไปคั้นน้ำทาแก้โรคเกาต์ ทาแก้แผลเรื้อรัง
4 ผลดิบหรือแก่ รสเผ็ดร้อน สรรพคุณขับลม บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ขับโลหิต ระดูของสตรี ฟอกเลือด แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้เสียงแหบแห้ง แก้ร้อนในอก ส่วนผลสุก มีกลิ่นฉุน มีสรรพคุณช่วยผายลมในลำไส้ สตรีมีครรภ์ไม่ควรบริโภค เพราะผลยอมีฤทธิ์ขับโลหิต อาจทำให้แท้งบุตรได้
5 ลูกยอ อุดมไปด้วยเอนไซม์ โปรซีโรเนส และโปรซีโรนีน ซึ่งเมื่อกินแล้วจะรวมตัวกันเป็นซีโรนีนในลำไส้ใหญ่ และจะถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกาย ซีโรนีน มีหน้าที่คือ ช่วยให้ปฏิกิริยาชีวเคมีในเซลล์ดีขึ้น ปรับสภาพความเป็นกรดด่างของร่างกายให้อยู่ในสภาพสมดุล เสริมภูมิต้านทานการติดเชื้อ ทำให้เซลล์ต่างๆ มีความแข็งแรงสมบูรณ์ ทำหน้าที่เป็นปกติขึ้น ฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมโทรม ฯลฯ
6 ในปัจจุบันจึงมีการนำลูกยอไปแปรรูปโดยคั้นเป็น น้ำลูกยอ โดยเชื่อกันว่ามีประโยชน์ ทางด้านคุณค่าของอาหาร มีสารแอนติออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งถือว่าช่วยชะลอการแก่ของเซลล์ และต้านมะเร็งได้ แต่การดื่มน้ำลูกยอสกัดเข้มข้น ไม่ควรดื่มเกินที่กำหนด เพื่อป้องกันไม่ให้ ร่างกายได้รับโพแทสเซียม และแคลเซียม ในปริมาณที่สูงเกินไป ซึ่งอาจมีปัญหากับไตได้
ข้อแนะนำและข้อควรระวังในการบริโภคน้ำลูกยอ
1 คุณค่า และสรรพคุณน้ำลูกยอจะลดลงเมื่อรับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์
2 ผู้ป่วยโรคไตไม่ควรดื่มน้ำลูกยอ เพราะมีเกลือโพแทสเซียมสูง อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้