บทความครัวคุณต๋อยอยากบอก25 พ.ค. 63

อยากเข้าสังคมต้องรู้ !! มารยาทบนโต๊ะอาหารญี่ปุ่น ฉบับ Omakase

Share :

อยากเข้าสังคมต้องรู้ !! มารยาทบนโต๊ะอาหารญี่ปุ่น ฉบับ Omakase

ช่วงกักตัวอยู่บ้าน หยุดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อไม่ใช้ชีวิตจำเจ ครัวคุณต๋อยมีเมนูอร่อย มาให้คุณแม่บ้านได้ฝึกปรือฝีมือ วันไหนว่างจากงานบ้าน ลองหยิบสูตรวุ้นสังขยา ไปทดลองทำดู หมดโรคระบาด เมนูนี้อาจเป็นแกงคั่วสร้างอาชีพก็ได้นะ

การเข้าสังคมกับการกินอาหารคือเรื่องเดียวกัน เมื่อการทำงานทำให้เราต้องรู้จักผู้คนมากขึ้น อาหารจึงเป็นเหมือนตัวกลางที่เชื่อมความสัมพันธ์และมิตรภาพที่ดีให้แก่กัน รสชาติและความสวยงามของอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การพูดคุยไม่ว่าจะ เรื่องธุรกิจ เรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัวนั้นลื่นไหลได้อีกด้วย ดังนั้นมารยาทบนโต๊ะอาหารจึงเป็นเรื่องสำคัญหากเราอยากจะเข้าสังคมเป็น การกินอาหารเพื่อเข้าสังคมมันก็มีอยู่หลายประเภท ไม่ว่าจะการกินอาหารฝรั่งเศสแบบ Fine dinning การกินอาหารญี่ปุ่นแบบ Omakase และอื่น ๆ ไปจนถึงการดื่มในโอกาสพิเศษต่าง ๆ ถ้าให้กล่าวทั้งหมดนี้ก็คงจะเป็นบทความที่ยืดยาว ดังนั้นเราจะเริ่มจากเรื่อง มารยาทบนโต๊ะอาหารญี่ปุ่น แบบฉบับ Omakase กันก่อนนะคะ

ถ้ากล่าวถึงประเทศญี่ปุ่นที่ถือว่าเป็นดินแดนแห่งอารยธรรมของการกิน มันก็เหมือนกับเรากำลังจะพูดถึงศิลปะของการกินอาหารที่ไม่ใช่แค่การกินเพื่อความอิ่มท้อง แต่เป็นการกินเพื่อเสพศิลปะและรสชาติของอาหารที่แท้จริง ซึ่งหลาย ๆ คนคงอดนึกไม่ได้ถึงรูปแบบการกินที่เรียกว่า Omakase แล้ว Omakase ที่ว่านี้มีความเป็นมาอย่างไร วิธีการจัดอาหารที่ถูกต้องจริง ๆ คือแบบไหน และทำไม Omakase ถึงได้รับความนิยมจากหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย

Omakase คืออะไร ?
โอมากาเสะ คือ วัฒนธรรมการกินของญี่ปุ่นที่เชฟจะเป็นคนเลือกเมนูให้กับลูกค้าเอง โดยในภาษาญี่ปุ่นคำว่า Omakase นั้นแปลว่า “I will leave it to you” หรือ “ตามใจเชฟ” (เว็บไซต์ Japan talk, 3 พ.ย. 63) โดยเมนูจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ปลาและวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหารจึงมีคุณภาพดีและสดใหม่อยู่ตลอด

ประวัติความเป็นมาของ Omakase
จริง ๆ แล้ว โอมากาเสะ ไม่ใช่ประเพณีเก่าแก่อะไรของญี่ปุ่นเลย แต่คำนี้ได้เกิดจากร้านซูชิในสมัยปี ค.ศ. 1990 ซึ่งในยุคก่อนปี 90 นี้ ร้านซูชิเป็นร้านอาหารที่มีราคาแพง ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงยาก คนที่เข้าไปกินซูชิส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่มีความรู้เรื่องปลาดิบโดยเฉพาะ และพวกเขานิยมที่จะไม่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เยอะมากเพื่อที่จะได้ลิ้มรสชาติของเนื้อปลาและเพื่อเป็นการให้เกียรติเชฟที่ปรุงอาหารด้วย ซึ่งเราอาจจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “วัฒนธรรมชั้นสูง” ของคนญี่ปุ่นในขณะนั้นเลยก็ว่าได้ แต่หลังจากเกิดภาวะฟองสบู่ขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจ ผู้บริโภครุ่นใหม่ ๆ มีกำลังซื้อมากขึ้นและพากันหลั่งไหลเข้าสู่ร้านซูชิมากขึ้นด้วย ซึ่งพวกเขามีความต้องการที่จะกินซูชิร่วมกับเครื่องเคียงและแอลกอฮอล์ปริมาณมากขึ้น จึงได้เกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ของการกินซูชิขึ้นมา และด้วยความที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ ๆ นั้น ไม่ได้มีความรู้เรื่องปลา โดยเฉพาะปลาตามฤดูกาลต่าง ๆ จึงได้เกิดความต้องการความรู้ในการสั่งอาหาร เชฟจึงมีหน้าที่ในการนำเสนอและแนะนำเมนูอาหารให้แก่พวกเขา คำว่า Omakase จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา ณ เวลานั้น

ต้องรู้ !! เมื่อคุณไปทาน Omakase

เมนูหลัก ๆ ของ Omakase ก็คือ ซูชิ แต่ในบางคอร์ส ก็อาจจะมี ซาชิมิ ซุปและของหวานเพิ่มเข้ามาในคอร์สด้วย ซึ่งเชฟของทางร้านจะเรียงลำดับมาให้เราตามความเหมาะสมเพื่อรสชาติที่ดีที่สุด การกิน Omakase จะเริ่มจากการกินปลาที่มีรสชาติอ่อนก่อน แล้วไล่ไปส่วนที่มีรสชาติที่เข้มข้นมากขึ้น การเรียงลำดับแบบนี้จะทำให้รสที่เข้มกว่าไม่ไปบดบังรสที่อ่อนกว่า ทำให้คุณสามารถลิ้มรสเนื้อปลาทุกชนิดได้อย่างเต็มที่ โดยจะเรียงตาม เนื้อปลาสีขาว เนื้อปลาสีเงิน เนื้อปลาสีแดง ไปยังเนื้อปลาที่มีรสจัดขึ้น เช่น แซลมอลและอิคุระ (ไข่ปลาแซลมอล) ปลาที่มีความมันที่สุดจะถูกเสิร์ฟเป็นอย่างสุดท้าย ตามลำดับ เพิ่มเติม คือ การเสิร์ฟซูชิแบบม้วนสาหร่ายจะหมายความว่าคุณกินใกล้จบคอร์สแล้วนั้นเอง และจะจบคอร์สจริง ๆ ด้วยการเสิร์ฟซุปและผลไม้ หรือ ของหวาน

ภาพจาก เว็บไซต์ Tokyu zebra

มารยาทที่ควรปฏิบัติเมื่อต้องทาน Omakase

1. ร้านโอมากาเสะ จะต้องจองคิวก่อน และรับลูกค้าจำนวนจำกัดต่อวัน โดยแบ่งเป็นรอบ ๆ แล้วแต่ร้าน

2. การนั่งติดกับเคาน์เตอร์ปรุงอาหารของเชฟ เพื่อจะได้เห็นขั้นตอนการทำทุกขั้นตอน และได้ฟังคำแนะนำจากเชฟได้

3. สามารถแจ้งกับเชฟได้ว่าคุณแพ้อะไรหรือไม่กินอะไรได้ก่อนเริ่มคอร์ส

4. ไม่ควรใส่น้ำหอมแบบจัดเต็มเกินไป เพราะจะทำให้ไปรบกวนการลิ้มรสของอาหาร กลิ่นของน้ำหอมที่แรงเกินไปทำให้เสียสุนทรียภาพของการกินอาหาร เราควรดื่มด่ำบรรยากาศและรสชาติให้มากที่สุด

5. อย่าขอซอส หรือวาซาบิเพิ่ม เพราะเชฟได้ปรุงมาให้ลูกค้าอย่างดีที่สุดแล้ว

6. จิ้มซูชิลงโชยุให้ถูกด้าน โดยให้ด้านเนื้อปลาโดนโชยุ

7. ควรกินซูชิภายในคำเดียว เพราะจะทำให้เราได้รับรสชาติอย่างเต็มรูปแบบ

8. อย่าถูตะเกียบเพื่อเอาเสี้ยนออก เพราะจะถือเป็นการตำหนิร้านโดยทางอ้อม

9. เราสามารถใช้มือได้ในการกินซูชิ ไม่ได้ถือว่าเป็นการเสียมารยาทแต่อย่างใด

10. ดูแลความสะอาดบนจานของเราอยู่เสมอ ศิลปะของการกิน Omakase ไม่ใช่แค่ความอร่อย แต่เป็นความประณีตในการกิน การที่คุณหมั่นจัดจานให้สะอาดและดูดีเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าคุณเป็นคนที่มีรสนิยมดี

ภาพจาก เว็บไซต์ Tokyu zebra

อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านอาจจะยังคงสงสัยว่า การมีความรู้เรื่องวิธีการกินโอมากาเสะนั้นจะทำให้เราดูเป็นคนที่เข้าสังคมเก่งได้อย่างไร ลองจิตนาการดูนะคะว่า มื้ออาหารที่มีราคาสูงเช่นนี้บ่งบอกว่า เราไม่ได้มาเพื่อกินเพียงแค่ให้เกิดความอิ่มท้อง แต่เรามาเพื่อรับอรรถรสของการกินที่ถือว่าเป็นศิลปะชั้นสูงเลยก็ว่าได้ ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถกินโอมากาเสะได้ทุกวันหรือทุกมื้อ ดังนั้นโอมากาเสะจึงเหมาะสำหรับโอกาสพิเศษ การกินอาหารที่มาพร้อมกับการพูดคุย ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องธุรกิจ การพาคนที่เรารัก เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่พาลูกค้า หรือเจ้านายมาทานก็ถือว่าเป็นโอกาสพิเศษที่เราจะสร้างความประทับใจให้แก่พวกเขาเหล่านั้นได้ เมื่อเราไม่ต้องคิดว่าจะกินเมนูอะไรดี หรือ ต้องเลือกปลาแบบไหน ก็จะทำให้รู้สึกสนุกและผ่อนคลายมากขึ้น พร้อมทั้งยังรู้สึกเซอร์ไพรส์ว่าเชฟจะเอาอะไรมาเสิร์ฟ การที่ไม่ต้องเลือกเมนูเองนี้แหละ คือจุดเด่นของโอมากาเสะ เพื่อให้เราสามารถใช้เวลาไปกับการพูดคุยอย่างผ่อนคลายกับคนที่เราพามาด้วยได้ และไม่ต้องกระอักกระอ่วนใจเมื่อต้องสั่งเมนูที่เราไม่คุ้นเคย หรือ ไม่รู้จัก

ภาพจาก เว็บไซต์ Tokyu zebra

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพประกอบจาก :

เว็บไซส์ japan-talk , livejapan , buzzfeed , lifehacker , tokyozebra

แท็กที่เกี่ยวข้อง : บทความ อาหารญี่ปุ่น