เคล็ดลับก้นครัวเคล็ดลับอื่นๆ 5 มี.ค. 68

เรื่องของวิตามินอี

Share :

ชวนรู้ เรื่องนี้ไม่ควรพลาด วิตามินอี ดีอย่างไร

วิตามินอี  หรือโทโคฟีรอล  เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย และลดโอกาสเกิดภาวะอักเสบในร่างกาย  ช่วยชะลอวัย ดูแลผิวพรรณ  ช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ให้หายเร็วขึ้น ช่วยป้องกันการแตกของเม็ดเลือดแดง  มีส่วนยับยั้งการจับกันของเกล็ดเลือด ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดและการอุดตันของเส้นเลือด  กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย  ช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ รวมไปถึงระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย

1 ปริมาณวิตามินอีที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน ผู้ชายอายุตั้งแต่ 9 ขวบขึ้นไป ควรได้รับวิตามินอีวันละ 13 มิลลิกรัม ผู้หญิงอายุตั้งแต่ 9 ขวบขึ้นไป ควรได้รับวิตามินอีวันละ 11 มิลลิกรัม 

2 อาหารที่มีวิตามินอีสูงส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มน้ำมัน และธัญพืช ขณะที่ในเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ อาจจะมีน้อยกว่าเช่น น้ำมันจมูกข้าวสาลีในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ จะให้แลวิตามินอีประมาณ 20 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่า 135% ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน  น้ำมันดอกคำฝอยในปริมาณ  1 ช้อนโต๊ะ ให้วิตามินอีอยู่ที่ 4.6 มิลลิกรัม  ส่วนธัญพืชเช่นเมล็ดทานตะวัน ปริมาณ  1 ออนซ์ หรือ 28 กรัม ก็ได้รับวิตามินอี 10 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่า 66% ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน   ส่วนอัลมอนต์ ได้รับวิตามินอีที่ 7.3 มิลลิกรัม   ส่วนผักและผลไม้ที่มีวิตามินอี ได้แก่ อะโวคาโด มะม่วง ขนุน กล้วยไข่ มะเขือเทศ พริกหวานสีแดงและปวยเล้ง

3 หากเราได้รับวิตามินอีไม่เพียงพอ  อาจเกิดอาการผิดปกติทางระบบประสาทที่ควบคุมการพูดและการเดิน เช่น เดินเซ ทรงตัวได้ไม่ดี พูดไม่ชัด เกิดการอักเสบที่ปลายประสาท มีภาวะกล้ามเนื้ออักเสบได้บ่อย และหากขาดวิตามินอีมาก ๆ ต่อเนื่องนาน ๆ อาจมีอาการกล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้  โดยวิตามินอีเป็นวิตามินชนิดที่ร่างกายเราผลิตขึ้นมาเองไม่ได้ จึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินอีจากอาหารเข้าไปช่วยบำรุงดูแลร่างกาย หากเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี และรับประทานอาหารครบ 5 หมู่เป็นประจำ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดวิตามินอี