เคล็ดลับก้นครัวเคล็ดลับอื่นๆ 3 พ.ค. 67

แอปเปิลแดงกับแอปเปิลเขียว

Share :

เคล็ดไม่ลับกับครัวคุณต๋อย ตอน “เรื่องของแอปเปิลแดงกับแอปเปิลเขียว”

แอปเปิลทั้ง 2 ชนิด ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่มีความแตกต่างกัน คือ แอปเปิลแดง มีกลิ่นหอม และรสหวานที่เป็นเอกลักษณ์ ส่วนแอปเปิลเขียว  มีรสหวานอมเปรี้ยว น้ำตาลน้อย ไฟเบอร์สูง จึงทำให้ระบบขับถ่ายดี

1 แอปเปิลแดง มีกลิ่นหอม และรสหวานที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเปลือกสีแดงของแอปเปิล อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีชื่อว่า แอนโทไซยานิน เป็นสารที่ละลายในน้ำได้ดี มีฤทธิ์ที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และช่วยให้คอเลสเตอรอลในเลือดลดลง จึงช่วยทำให้ป้องกันการอักเสบ ป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือด นอกจากนี้แอปเปิลแดง ยังมีส่วนสำคัญในการสร้างคลอลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวดูเต่งตึง ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง  และยังช่วยในเรื่องความจำอีกด้วย แต่ทั้งนี้แอปเปิ้ลแดง มีน้ำตาลสูง อาจไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือมีปัญหาเกี่ยวกับโรคเบาหวาน ซึ่งหากต้องการทานควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

2 แอปเปิลเขียว  มีรสหวานอมเปรี้ยว น้ำตาลน้อย ไฟเบอร์สูง จึงทำให้ระบบขับถ่ายดี กินแล้วจะอิ่มได้นาน เหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก ที่สำคัญมีวิตามินซีสูง ต้านโรคหวัดได้ดี นอกจากนี้แอปเปิลเขียว ยังช่วยลดอาการเลือดออกตามไรฟัน ช่วยให้หนังศีรษะแข็งแรงชุ่มชื้น ช่วยป้องกันการถูกทำลายของจอประสาทตา ช่วยให้ข้อต่อ และกระดูกแข็งแรง และช่วยทำให้ผิวพรรณดี สดใส เปล่งปลั่ง ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัย อีกทั้งยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคอ้วน และโรคเบาหวาน

3 สรุปแล้วแอปเปิลแดงกับแอปเปิลเขียว มีความแตกต่างกันที่ แอปเปิลแดงมีกลิ่นหอม และรสหวานมากกว่าแอปเปิลเขียว ส่วนแอปเปิลเขียว มีรสหวานอมเปรี้ยว น้ำตาลน้อยกว่า แถมมีไฟเบอร์สูงกว่าด้วย  ใน 1 วัน ไม่ควรทานแอปเปิลเกินวันละ 4 ผล เพราะอาจจะทำให้เกิดการรับสารอาหารที่มากเกินไป และการทานแอปเปิลที่ถูกวิธี คือ การทานแอปเปิลทั้งเปลือก และถ้าต้องการดื่มเป็นน้ำ ก็ต้องปั่นทั้งเปลือกด้วยเช่นกัน เพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่